gite-laborie.com

สรุป 5 ประเด็นที่ต่างกันของถ้อยแถลงฝ่ายไทยและกัมพูชา ต่อที่ประชุม UNSC

สรุป 5 ประเด็นที่ต่างกันของถ้อยแถลงฝ่ายไทยและกัมพูชา ต่อที่ประชุม UNSC

สรุป 5 ประเด็นที่ต่างกันของถ้อยแถลงฝ่ายไทยและกัมพูชา ต่อที่ประชุม UNSC

การประชุมฉุกเฉินของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council-UNSC) เมื่อเวลาประมาณ 02.00 น. ของวันนี้ (26 ก.ค.) เพื่อหารือกรณีการปะทะระหว่างไทยและกัมพูชา ตามที่นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ส่งหนังสือร้องขอไปเมื่อวันที่ 24 ก.ค.

การประชุมนี้เป็นการประชุมแบบปิด (private meeting) โดยที่ประชุม UNSC ไม่ได้มีมติหรือการออกเอกสารใด ๆ

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ เปิดแถลงข่าวที่กระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า ถ้อยแถลงของประเทศสมาชิก UNSC ที่เข้าร่วมประชุมเป็นไปในทิศทางเดียวกันคือ เรียกร้องให้กัมพูชาและไทยใช้การยับยั้งชั่งใจ ลดความตึงเครียด หยุดยิง และแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี, สนับสนุนบทบาทของอาเซียนในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง และย้ำว่าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ

ประเทศไทยมีนายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติชี้แจงต่อที่ประชุม ด้านกัมพูชาส่งนายเจีย แก้ว เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรกัมพูชาประจำสหประชาชาติ เป็นผู้แทนกล่าวถ้อยแถลง โดยฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้ได้พูดก่อน ตามการเปิดเผยของ นายชุม ซูนรี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา

เนื้อหาถ้อยแถลงของทั้งสองประเทศมีความแตกต่างกันในบางประเด็น บีบีซีไทยจึงขอสรุปเนื้อหาและความแตกต่าง ดังนี้

1. เหตุปะทะชายแดนวันที่ 28 พ.ค. ที่ส่งผลทหารกัมพูชาเสียชีวิต

นายเชิดชาย ชี้แจงต่อที่ประชุม UNSC ถึงเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและกัมพูชาเมื่อ 28 พ.ค. บริเวณชายแดนระหว่างการเดินลาดตระเวน ซึ่งส่งผลให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 ราย ในถ้อยแถลงเขาเรียกเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า “การปะทะกันเล็กน้อย” และกล่าวด้วยว่า กองทัพไทยจำเป็นต้อง “ดำเนินการตอบโต้โดยได้สัดส่วน” จากการยิงเข้ามาของทหารกัมพูชา

เขากล่าวต่อไปว่า หลังจากเหตุปะทะครั้งนั้น ไทยได้พยายามจัดการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. ที่กรุงพนมเปญ เนื่องจากประเทศไทย “เชื่อมาโดยตลอดว่าช่องทางทวิภาคี เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการแก้ไขปัญหา”

ขณะที่นายเจีย แก้ว เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กล่าวว่า เหตุการณ์ความรุนแรงปัจจุบันมีสาเหตุมาจากการปะทะกันของทหารไทยและกัมพูชาบริเวณชายแดนเมื่อวันที่ 28 พ.ค. และยืนยันว่าทหารฝ่ายกัมพูชาไม่ได้มีการรุกล้ำอธิปไตยมาฝั่งไทย แทนที่ประเทศไทยจะสืบสวนเรื่องเหตุปะทะดังกล่าวตามคำขอของทางกัมพูชา แต่กลับกล่าวอ้างว่าทหารกัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน และละเมิดอำนาจอธิปไตยไทย เพื่อบังคับให้กัมพูชา “ยอมรับแผนที่ที่ถูกยอมรับ[โดยไทย] ฝ่ายเดียว”

2. ทุ่นระเบิดที่ไทยอ้างว่า ‘ถูกฝังใหม่’

ในถ้อยแถลงของนายเชิดชาย ระบุว่า เมื่อวันที่ 16 และ 23 ก.ค. ที่ผ่านมา ทหารไทยได้เหยียบกับระเบิดขณะลาดตระเวนตามปกติในดินแดนของประเทศไทย ทำให้ทหารสองนายบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นพิการถาวร ขณะที่ทหารคนอื่น ๆ ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง โดยมีหลักฐานยืนยันว่า “ระเบิดดังกล่าวถูกวางใหม่ในพื้นที่ที่เคยได้รับการเก็บกู้ระเบียบเรียบร้อยแล้ว”

นอกจากนี้ ไทยเองยังได้ทำลายทุ่นระเบิดทุกประเภทโดยสมบูรณ์แล้วตั้งแต่ปี 2019 แต่ตามรายงานความโปร่งใสประจำปีของกัมพูชา ณ เดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว ชี้ว่ากัมพูชายังคงเก็บรักษากับระเบิดประเภทนี้ไว้ โดยถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดแจ้ง และละเมิดอนุสัญญาห้ามการใช้กับระเบิดสังหารบุคคล หรืออนุสัญญาออตตาวา ที่ทั้งไทยและกัมพูชาต่างก็เป็นภาคี

ทว่าถ้อยแถลงของฝ่ายกัมพูชานั้นต่างออกไป โดยระบุว่า ไทย “กล่าวหาโดยไร้หลักฐานและไม่มีมูลต่อกัมพูชาเกี่ยวกับเหตุระเบิดกับระเบิดเมื่อเร็ว ๆ นี้” และเสริมด้วยว่า เจ้าหน้าที่ไทยได้เดินลาดตะเวนเบี่ยงเบนออกจากเส้นทางที่เคยได้ประสานงานกันไว้ โดยไทยได้สร้างทางเดินใหม่ผ่านดินแดนของประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นบริเวณที่ “มีเอกสารยืนยันอย่างเป็นทางการว่าเป็นทุ่งกับระเบิดที่หลงเหลือมาจากสงครามกลางเมืองในช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980 “

3. ทั้งสองอ้างอีกฝ่าย ‘เปิดฉากยิงก่อน’ เมื่อวันที่ 24 ก.ค.

นายเชิดชาย กล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 ก.ค. ว่า กองทัพกัมพูชาพร้อมอาวุธหนักได้เปิดฉากยิงเข้าใส่ฐานทัพของไทยที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ในช่วงเช้า และในเวลาต่อมา กัมพูชาก็ได้เปิดฉากโจมตีอย่าง “ไม่เลือกเป้าหมาย” ในดินแดนของไทยครอบคลุม 4 จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี

การโจมตีของกัมพูชาสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน โรงพยาบาลและโรงเรียน โดย ณ วันที่ 25 ก.ค. การโจมตีดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 14 ราย รวมถึงเด็กชายวัย 8 ขวบ 1 ราย บาดเจ็บอีก 46 ราย และในนั้นมี 13 ราย อยู่ในอาการวิกฤต และประชาชนกว่า 130,000 คนที่ต้องอพยพออกจากพื้นที่

ในทางกลับกัน ถ้อยแถลงของฝ่ายกัมพูชาระบุว่า กองทัพไทยเปิดฉากโจมตี “โดยมีเจตนาและวางแผนล่วงหน้า” ต่อหลายตำแหน่งของกัมพูชาตามแนวชายแดนซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติระหว่างกัมพูชาและไทย โดยการโจมตีดังกล่าวได้มุ่งเป้าไปยังพื้นที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม และในวันเดียวกันระเบิดจากเครื่องบิน F-16 ของไทยก็คร่าชีวิตพระสงฆ์ 1 รูป

จนถึงปัจจุบัน กัมพูชาอ้างว่ามีผู้เสียชีวิตจากการโจมตีของฝ่ายไทยทั้งหมด 13 ราย (พลเรือน 8 ราย และทหาร 5 ราย) บาดเจ็บอีก 71 ราย (พลเรือน 50 ราย และ ทหาร 21 ราย) และประชาชนกว่า 37,000 คนได้รับการอพยพ

นอกจากนี้ ถ้อยแถลงยังระบุด้วยว่า เมื่อวันที่ 23 ก.ค. หรือหนึ่งวันก่อนการโจมตีด้วยอาวุธของไทยต่อกัมพูชา พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ของไทยได้สั่งการให้กองทัพภาคไทยที่ 2 และ 1 ดำเนินการตามแผน “จักรพงษ์ภูวนารถ” ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์เตรียมพร้อมรบเต็มรูปแบบ ที่เคยถูกนำมาใช้ในกรณีการรุกรานของไทยต่อกัมพูชาในช่วงปี 2008–2011 แสดงถึง “เจตนาอันชัดเจนและจงใจของประเทศไทยในการเตรียมการสำหรับสงคราม”

4. กัมพูชาอ้างไทยจงใจทำลายมรดกโลก แต่ไทยปฏิเสธ

ถ้อยแถลงของนายเจีย เขียนไว้ว่า เมื่อวันที่ 25 ก.ค. เครื่องบิน F-16 ของไทยได้ปฏิบัติการทิ้งระเบิด 4 ครั้ง โดยมีหนึ่งครั้งที่บริเวณปราสาทตาแกบ และอีกสามครั้งที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากปราสาทพระวิหารเพียงประมาณ 300 เมตร สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อปราสาทพระวิหาร และพื้นที่คุ้มครองโดยรอบ โดยถือเป็น “การทำลายมรดกโลกโดยเจตนา” ละเมิดอนุสัญญาเฮกปี 1954

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายไทยปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องความเสียหายที่เกิดขึ้นบริเวณโดยรอบและโครงสร้างของปราสาทพระวิหาร โดยยืนยันในถ้อยแถลงว่า การปะทะกันระหว่างกองกำลังไทยและกัมพูชาไม่มีครั้งใดเกิดขึ้นใกล้บริเวณปราสาทพระวิหาร โดยเป้าหมายที่ใกล้ที่สุดคือบริเวณภูมะเขือ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากปราสาทพระวิหารประมาณ 2 กิโลเมตร

ดังนั้น ปราสาทพระวิหาร “อยู่นอกแนววิถีของปฏิบัติการทางทหารของไทยโดยสิ้นเชิง” จึงเป็นไปไม่ได้ที่กระสุนหรือสะเก็ดระเบิดจากการปะทะกันที่ภูมะเขือจะพุ่งถึงหรือก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญต่อปราสาทพระวิหาร ถ้อยแถลงของไทย ระบุ

5. การเจรจาหยุดยิง

หนึ่งในประเด็นที่มีการกล่าวถึงโดยฝ่ายกัมพูชา แต่ไม่พบในถ้อยแถลงของไทยคือ ข้อตกลงหยุดยิงโดยทันที ในการพูดคุยทางโทรศัพท์กับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และประธานอาเซียนในปัจจุบัน

ถ้อยแถลงการณ์ของฝ่ายกัมพูชาระบุว่า ในช่วงเย็นของวันที่ 24 ก.ค. นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และประธานอาเซียนในปัจจุบัน ได้โทรศัพท์พูดคุยกับ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา เพื่อแสดงความกังวลอย่างยิ่ง และเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายตกลงหยุดยิงโดยทันที และนายกฯ กัมพูชาได้ยืนยันการสนับสนุนข้อเสนอดังกล่าวอย่างเต็มที่

ทั้งนี้ภายหลังการพูดคุยกับผู้นำของทั้งกัมพูชาและไทย นายอันวาร์ กล่าวว่า ฝ่ายไทยได้ตกลงที่จะหยุดยิงเช่นกัน โดยจะมีผลตั้งแต่เวลา 00.00 น. ของวันที่ 24 ก.ค.

อย่างไรก็ตาม ไม่กี่ชั่วโมงให้หลัง “ประเทศไทยได้กลับจุดยืน” โดยให้เหตุผลว่าจำเป็นต้องเลื่อนการหยุดยิงออกไป

ในถ้อยแถลงการณ์ของไทยไม่ระบุเรื่องการพูดคุยกับประธานอาเซียนแต่อย่างใด เพียงแต่ระบุว่า ประเทศไทยขอเรียกร้องให้กัมพูชายุติการเป็นปรปักษ์และการรุกรานทั้งหมดโดยทันที และกลับเข้าสู่กระบวนการเจรจาโดยสุจริตใจ เท่านั้น

แหล่งที่มา www.bbc.com/thai/articles/c5yp8dx1x6do

administrator

Related Articles

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *